3 เหตุผลที่ทำไมเฟอร์นิเจอร์ไทยถึงแพงกว่าของจีน?

เมื่อลูกค้าถาม “ทำไมเฟอร์นิเจอร์ไทยถึงแพงกว่าของจีน?” เราตอบยังไง


คำถามที่ได้รับทุกวัน

“สินค้าที่ร้านราคา 990 บาท แต่ใน Shopee มีของจีนราคา 490 บาท ดูใช้งานได้คล้ายๆกัน ต่างกันตรงไหนคะ?”

นี่คือคำถามที่ผมได้รับบ่อยพอสมควร และวันนี้ผมจะเล่าให้ฟังว่า ทำไมเฟอร์นิเจอร์ไม้ไทยสักถึงแพงกว่า แต่ลูกค้าที่ซื้อไปแล้วกลับมาขอบคุณ

เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของ “ของไทยดี ของจีนไม่ดี” แต่เป็นเรื่องของ กระบวนการทำงาน, มาตรฐาน และความรับผิดชอบ ที่ต่างกัน


⚡ เหตุผลที่ 1: ช่างไม้ไทยใช้เวลา 3 เท่า แต่ได้ผลงานที่ใช้ได้ 5 เท่า

ตัวอย่างจริง: การทำชั้นวางของไม้สัก 2 ชั้น

วิธีการของโรงงานจีน (mass production):

  • ใช้เครื่องจักรตัดไม้ให้ได้ขนาดคร่าวๆ
  • ประกอบด้วยสกรูและกาว
  • ไม่มีการตรวจสอบทีละชิ้น

วิธีการของช่างไม้ไทย (Wood Collection):

  • ขั้นที่ 1: คัดเลือกไม้สักแต่ละท่อน ดูเนื้อไม้ ลายไม้ ความชื้น
  • ขั้นที่ 2: ตัดและเตรียมไม้ด้วยมือ ปรับให้พอดี
  • ขั้นที่ 3: ขัดผิวทีละชั้น จนเรียบเนียน
  • ขั้นที่ 4: ประกอบและทดสอบแรงกดทับ
  • ขั้นที่ 5: เคลือบผิวและตรวจสอบครั้งสุดท้าย
  • ช่างต่อคนผลิตได้ ~12 ชิ้น/วัน

ผลต่าง:

  • ของจีน: รับน้ำหนักได้ 8-10 กิโลกรัม, อายุการใช้งาน 1-2 ปี
  • ของไทย: รับน้ำหนักได้ 50 กิโลกรัม, อายุการใช้งาน 10+ ปี

เรื่องจริงจากลูกค้า:

“ผมซื้อชั้นวางของจีนราคา 390 บาท ใช้ได้ 6 เดือนก็โก่งตรงกลาง พอซื้อของ Wood Collection ราคา 1,090 บาท ใช้มา 1 ปีครึ่งแล้ว ใส่หนังสือเพิ่มเติมก็ยังไม่โก่ง”

– คุณปิยะ, ลูกค้า นนทบุรี


🔧 เหตุผลที่ 2: ช่างไม้ไทยรับผิดชอบต่อผลงาน ไม่ใช่แค่ “ขายแล้วจบ”

ความแตกต่างในเรื่องความรับผิดชอบ:

โรงงานจีน:

  • ผลิตในปริมาณมาก ราคาถูก
  • ไม่มีการรับประกัน หรือรับประกัน 1-3 เดือน
  • หากมีปัญหา ต้องส่งคืนจีน (ค่าส่งแพงกว่าตัวสินค้า)
  • หลักการ: “ขายไปแล้ว ลูกค้าต้องจัดการเอง”

ช่างไม้ไทย (Wood Collection):

  • ผลิตทีละชิ้น คำนึงถึงคุณภาพ
  • รับประกันซ่อมฟรีตลอดอายุการใช้งาน
  • มีทีมบริการเเละมีหร้าร้านในไทย ตอบไลน์ได้ทุกวัน
  • หลักการ: “ผลงานของเราต้องอยู่กับลูกค้าไปนาน เราต้องดูแลให้ดี”

🌳 เหตุผลที่ 3: ช่างไม้ไทยใช้ไม้สักแท้ ไม่ใช่ไม้อัดหรือไม้ปลอม

ความแตกต่างของวัตถุดิบ:

เฟอร์นิเจอร์จีนราคาถูก:

  • ใช้ MDF (Medium Density Fiberboard) = ไม้อัดจากขี้เลื่อย
  • หุ้มด้วย วีเนียร์ หรือ ฟิล์มลายไม้ ให้ดูเหมือนไม้จริง
  • กาวที่ใช้มักมี ฟอร์มาลดีไฮด์ ซึ่งอาจปล่อยสารพิษ
  • อายุการใช้งาน: 1-2 ปี ก่อนจะเริ่มลอก แตก หรือบวม

Wood Collection (ไม้สักไทยแท้):

  • ใช้ ไม้สักแท้ 100%
  • ไม่มีการผสมไม้อื่น หรือใช้วัสดุสังเคราะห์
  • น้ำมันธรรมชาติในไม้สัก ป้องกันปลวก และความชื้นได้เอง
  • อายุการใช้งาน: 10-20 ปี หรือมากกว่า

ทดสอบง่ายๆ แยกไม้แท้กับไม้ปลอม:

วิธีที่ 1: ดูจากขอบตัด

  • ไม้อัด: จะเห็นชั้นๆ ของกาวและขี้เลื่อย
  • ไม้สักแท้: เห็นเนื้อไม้ ลายไม้เป็นธรรมชาติ

วิธีที่ 2: ดูจากน้ำหนัก

  • ไม้อัด: เบากว่า เพราะมีอากาศปนอยู่
  • ไม้สักแท้: หนักกว่า เนื้อไม้แน่น

วิธีที่ 3: หยดน้ำทดสอบ

  • ไม้อัด: น้ำซึมเร็ว เพราะกาวจะละลาย
  • ไม้สักแท้: น้ำไหลลื่น เพราะน้ำมันธรรมชาติ

เรื่องจริงจากลูกค้า:

“ผมเคยซื้อโต๊ะทำงาน ‘ลายไม้’ ราคา ประมาณ1,200 บาท จาก Shopee หลังใช้ 1 ปี ผิวเริ่มลอกออกมา เห็นไม้อัดข้างใน พอซื้อของจริงจาก Wood Collection ต่างกันมาก ผิวไม้สักแท้ยิ่งใช้ยิ่งสวย ลายไม้ยังคมชัดเหมือนเดิม”

– คุณธีรพงษ์, ลูกค้า สงขลา

ผลกระทบระยะยาว:

ไม้อัด/ไม้ปลอม:

  • ปี 1: ดูดี ใช้งานปกติ
  • ปี 2: เริ่มลอก บวม ถ้าโดนน้ำ
  • ปี 3: ต้องซื้อใหม่

ไม้สักแท้:

  • ปี 1-5: ยังใหม่ สวยงาม
  • ปี 6-10: ลายไม้เริ่มเข้มขึ้น สวยขึ้น (vintage)
  • ปี 10+: กลายเป็น antique ที่มีค่ามากขึ้น

เหตุใดจึงเลือกไม้สักไทย:

  1. ไม้สักไทยมีคุณภาพดีที่สุดในโลก เนื่องจากดินฟ้าอากาศ
  2. กระบวนการอบแห้งแบบไทย ทำให้ไม้คงรูป ไม่บิดงอ
  3. ประเพณีการเลือกไม้ ของช่างไทยที่สืบทอดมา 100+ ปี
  4. การควบคุมคุณภาพ ที่เข้มงวดกว่าการ import

ความแตกต่างในราคา 800 บาท = ความแตกต่างระหว่าง “ไม้ปลอม” กับ “ไม้แท้”


💰 เปรียบเทียบต้นทุนจริง: 2 ปี

ชั้นวางของ 2 ชั้น

เลือก A: ซื้อของจีน (ราคาถูก)

  • ซื้อครั้งที่ 1: 490 บาท (ใช้ได้ 10 เดือน)
  • ซื้อครั้งที่ 2: 490 บาท (ใช้ได้ 10 เดือน)
  • ซื้อครั้งที่ 3: 490 บาท (ใช้ได้ 4 เดือน ครบ 2 ปี)
  • รวม 2 ปี: 1,470 บาท + เวลาและความรำคาญที่เสียไป

เลือก B: ซื้อของไทย (Wood Collection)

  • ซื้อครั้งเดียว: 1,090 บาท
  • ใช้ได้ 2 ปี (และต่อไปอีกอย่างน้อย 3-5 ปี)
  • ซ่อมฟรี (ถ้าต้องการ): 0 บาท
  • รวม 2 ปี: 1,090 บาท

ผลต่าง: ประหยัดได้ 380 บาท และ:

  • ไม่ต้องเสียเวลาซื้อซ้ำ
  • ไม่ต้องกังวลเรื่องเสียหาย
  • ไม่ต้องหาที่ทิ้งของเก่า
  • มีการรับประกันตลอดการใช้งาน

🎯 สรุป: แพงขึ้นแค่วันละ 1 บาท แต่คุ้มกว่าหลายเท่า

เมื่อคิดถึงเรื่อง “ความคุ้มค่า” เราต้องมองภาพรวม ไม่ใช่แค่ราคาในวันแรก:

การคิดแบบ “รายวัน”:

  • ของจีน 490 บาท ใช้ได้ 10 เดือน = วันละ 1.6 บาท
  • ของไทย 1,090 บาท ใช้ได้ 2 ปี = วันละ 1.5 บาท

ผลลัพธ์: ของไทยที่ดูแพงกว่า จริงๆ แล้ว ถูกกว่าวันละ 10 สตางค์!

สิ่งที่ได้เพิ่ม (แต่ไม่ต้องจ่ายเพิ่ม):

  • ความสบายใจที่มีการรับประกัน
  • ความภาคภูมิใจที่ได้สนับสนุนช่างไทย
  • การบริการที่เข้าใจภาษาไทย
  • ความมั่นใจที่ไม่ต้องซื้อซ้ำ

💬 ข้อความจากลูกค้าจริง:

“ตอนแรกก็เสียดายเงิน 800 บาท แต่พอใช้จริงแล้ว รู้สึกว่าคุ้มมาก เพราะไม่ต้องไปเสียเวลาหาซื้อใหม่และที่สำคัญคือมั่นใจได้ว่าถ้ามีปัญหาก็มีคนดูแล”

– คุณสุดา, ลูกค้า สมุทรปราการ


🏆 ข้อคิด: ทำไมต้องเลือกของไทย?

ไม่ใช่เพราะเราคิดว่า “ของไทยดีกว่าของจีน” แต่เพราะเรา “ใส่ใจในทุกรายละเอียด และรับผิดชอบต่อลูกค้าจริงๆ”

การที่ช่างไม้ไทยทำงานแพงกว่า เป็นเพราะเราลงทุน:

  • เวลา ในการทำงานอย่างพิถีพิถัน
  • ความรับผิดชอบ ในการดูแลลูกค้าตลอดไป
  • ความเอาใจใส่ ในการปรับแต่งให้เข้ากับความต้องการ

สิ่งเหล่านี้ คือค่าใช้จ่ายที่แฝงอยู่ในราคาที่เพิ่มขึ้น


หากคุณกำลังตัดสินใจเลือกซื้อเฟอร์นิเจอร์ ลองคิดดูว่า:

คุณต้องการประหยัด XXX บาท แต่ต้องซื้อซ้ำทุกปี

หรือจ่าย XXX บาท เพิ่ม แล้วใช้ไปนานๆ พร้อมการดูแลตลอดชีพ?

Wood Collection – เฟอร์นิเจอร์ไม้สักไทย ที่แพงกว่าเล็กน้อย แต่คุ้มกว่าหลายเท่า


📞 สนใจปรึกษาหรือดูสินค้า:
🌐 Website: woodminimal.com
📱 Facebook: Wood Collection
📞 โทร: 087-5207543